จาง จงชาง
จาง จงชาง | |
---|---|
ชื่อพื้นเมือง | 張宗昌 |
ชื่อเล่น |
|
เกิด | 1881 แคว้นอี ไหลโจว ชานตง รัฐฉิง |
เสียชีวิต | 3 กันยายน 1932 (อายุ 50–51) จี่หนาน ชานตง สาธารณรัฐจีน |
รับใช้ | |
ชั้นยศ | General |
บังคับบัญชา |
|
การยุทธ์ |
จาง จงชาง (จีน: 張宗昌; พินอิน: Zhāng Zōngchāng; หรือ รูปโรมันเป็น Chang Tsung-chang; 1881 – 3 กันยายน 1932) เป็นขุนศึกในระหว่างยุคสมัยขุนศึกของสาธารณรัฐจีน เขาเป็นสมาชิกของชุมเฟิ่งเทียน และในปี 1925 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการแคว้นชานตงที่ซึ่งเขาปกครองไปอย่างเลวร้ายและทารุณ ในระหว่างนั้นเขายังมีส่วนในการลักลอบขนฝิ่นและมีนางบำเรอมากกว่า 30 คน เขามีชื่อเสียงในทางที่เลวร้ายสำหรับวิถีชีวิตที่หรูหรา จนทำให้เขาได้ชื่อเล่นว่าเป็น "นายพลเนื้อหมา" (โก่วโร่วเจียงจุน; 狗肉將軍; Gǒuròu Jiāngjūn) นิตยสาร ไทม์ เรียกเขาว่าเป็น "ขุนพลที่ชั่วช้าที่สุด" (basest warlord)[1] กองพลของจางพ่ายให้กับกองทัพปฏิวัติแห่งชาติระหว่างการออกเดินทางขึ้นเหนือในปี 1928 เขาลี้ภัยไปญี่ปุ่นก่อนจะเดินทางกลับมาที่ชานตงในปี 1932 และต่อมาถูกลอบสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งล้างแค้นให้กับบิดาที่เสียชีวิต
ตัวตนและภาพลักษณ์
[แก้]เขาบอกให้ผมไปทำอีกอย่าง
พวกเอ็งมันสารเลวกันทั้งหมด
ไปเย็ดแม่เอ็งซะ
"บทกวีว่าด้วยพวกสารเลว" โดย จาง จงชาง[a]
จาง จงชาง เป็นหนึ่งในขุนศึกที่มีชื่อเสียงในทางเลวร้ายและเป็นที่รู้จักที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน[3] ตำนานล้อเลียนและชีวประวัติจริงของเขาแยกออกจากกันได้ยาก[4] นักวิจัย แม็ทธิว อาร์ พอร์ตวู้ด (Matthew R. Portwood) และ จอห์น พี ดัน (John P. Dunn) ระบุว่าคู่ต่อสู้ของเขามักบรรยายถึงจางในรูป "ภาพจำของความชั่วร้ายและความโลภ" ("a poster boy for evil and avarice")[4] นักประวัติศาสตร์ อาร์เธอร์ วอลดรอน ระบุว่าในบรรดาขุนศึกทั้งหมดในสมัยนั้น จางเป็นคนที่ "น่าจะเป็นคนเดียวที่ถูกมองหยามมากที่สุด"[5] คู่ต่อสู้ของเขาระบุว่าพฤติกรรมของจางนั้น "โหดร้ายทารุณแบบไม่มีสมอง" ("mindlessly brutal") ในระหว่างการยุทธ์[6] และเขายัง "มีร่างกายอย่างช้าง สมองอย่างหมู และอารมณ์รุนแรงอย่างเสือ"[7] จางเป็นที่รู้จักในทางไม่ดีจากงานอดิเรกของเขาซึ่งเขาใช้ดาบฟันกะโหลกของนักโทษให้แตกเป็นส่วน ๆ และจับผู้เห็นต่างแขวนคอจากเสาโทรศัพท์[8][9] แม้จะมีชื่อเสียงในทางลบ แต่จางก็เป็นที่รู้จักในฐานะบุคคลที่ชอบเข้าสังคม มีเสน่ห์ และให้ความเคารพแก่กองพลของตนและผู้สนับสนุน[10][11] รวมถึงมีบรรยายไว้ว่าเป็นบุคคลที่มีความกล้า[9] และเป็น "คนกระหายสงคราม"[12] แม้จะมีผู้ระบุว่าเขาเป็นหนึ่งในนายพลที่มีพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งในบรรดาขุนศึกจีน แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกวิจารณ์และปฏิเสธ[5]
จางชอบที่จะโอ้อวดขนาดจู๋ของตนเอง ข้อเท็จจริงนี้กลายมาเป็นหนึ่งในตำนานสืบทอดของเขา[8][13] เขาเป็น "ชายเจ้าชู้เลื่องชื่อ"[14] และมีคู่ครองหลายคน[15] ในยามที่เขาเรืองอำนาจสูงสุด เขามีนางสนมอยู่ 30-50 คนจากชาติต่าง ๆ แต่ละคนมีหมายเลขประจำตัว เพราะเขาไม่สามารถจำชื่อหรือพูดภาษาของแต่ละคนได้ ไทม์ ระบุว่านางบำเรอแต่ละคนถูกบังคับตัวมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยในชานตง[1] นางบำเรอของเขามีทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลี มองโกเลีย และมีคนอเมริกันอย่างน้อยคนหนึ่ง[16] มีการบันทึกว่าจางกินเนื้อหมาเชาเชาสีดำทุกวัน ซึ่งเชื่อกันว่าช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศชาย[17]
แม้เขาจะรู้หนังสือบ้างไม่รู้บ้าง (semi-literate)[8] แต่จางก็เป็นที่รู้จักจากงานเขียนกวีของเขา แม้บทกวีเหล่านี้จะถูกมองว่าค่อนข้างห่วย บทกวีของเขา เช่น บทกวีว่าด้วยพวกสารเลว ("Poem about bastards"), บทกวีทะเลต้าหมิง ("Daming Lake poem"), บทกวีการเดินทางไปยังศาลาเผิงไหล ("Visiting Penglai Pavilion") และ บทกวีขอฝน ("Pray for Rain") แหล่งข้อมูลบางแหล่งเชื่อว่าบทกวีเหล่านี้สร้างขึ้นมาโดยคู่แข่งทางการเมืองของเขาเพื่อทำให้จางเสื่อมเสียชื่อเสียง[18] เมื่อถามว่าเขามีการศึกษาหรือไม่ เขามักจะตอบว่าเขาจบมาจาก "วิทยาลัยของป่าไม้สีเขียวขจี" (ซึ่งคือ วิชาการเป็นโจร)[8]
หมายเหตุ
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "CHINA: Basest War Lord". TIME. 7 March 1927. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 August 2023. สืบค้นเมื่อ 7 August 2023.
- ↑ "民國時期最狂軍閥,出版過詩集的草莽將軍張宗昌" [The most insane warlord during the Republic of China, the published poetry collection of the generals Zhang Zongchang]. The News Lens. 10 August 2018. สืบค้นเมื่อ 2 February 2019.
- ↑ Sheridan (1975), p. 66.
- ↑ 4.0 4.1 Portwood & Dunn (2014), p. 18.
- ↑ 5.0 5.1 Waldron (2003), p. 105.
- ↑ Sheridan (1975), p. 67.
- ↑ 9.0 9.1 Ebrey (1993), p. 374.
- ↑ Sheridan (1975), pp. 67–68.
- ↑ Ebrey (1993), p. 375.
- ↑ Fenby (2004), p. 102.
- ↑ S. Louisa Wei. "Yang Naimei". Women Film Pioneers Project. สืบค้นเมื่อ 5 February 2021.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อtime2
- ↑ Weirather (2015), p. 42.
- ↑ Hendrickson (1974), p. 104.
- ↑ "张宗昌写过「大炮开兮轰他娘」吗|真问真答". www.sohu.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 May 2019.
บรรณานุกรม
[แก้]- Bonavia, David (1995). China's Warlords. Hong Kong: Oxford University Press. ISBN 0-19-586179-5.
- Ebrey, Patricia Buckley (1993) [1st pub. 1981]. Chinese Civilization: A Sourcebook (2nd ed.). New York City: The Free Press. ISBN 9781439188392.
- Fenby, Jonathan (2004). Generalissimo: Chiang Kai-shek and the China He Lost. London. ISBN 9780743231442.
- Hendrickson, Robert (1974). Lewd food: the complete guide to aphrodisiac edibles. Boston: Chilton Company. ISBN 9780801957666.
- Jowett, Philip (2010). Chinese Warlord Armies 1911–30. Oxford: Osprey Publishing. ISBN 978-1-84908-402-4.
- Jowett, Philip S. (2017). The Bitter Peace. Conflict in China 1928–37. Stroud: Amberley Publishing. ISBN 978-1445651927.
- Rea, Christopher (2015). The Age of Irreverence: A New History of Laughter in China. Berkeley, California: University of California Press. ISBN 978-0-520-28384-8.
- Sheridan, James E. (1975). China in Disintegration: The Republican Era in Chinese History, 1912-1949. New York: Free Press. ISBN 0029286107.
- Strand, David (1989). Rickshaw Beijing: City People and Politics in the 1920s. Berkeley: University of California Press. ISBN 978-0520082861.
- Waldron, Arthur (2003). From War to Nationalism: China's Turning Point, 1924–1925. Cambridge UP. ISBN 978-0-521-52332-5.
- Weirather, Larry (2015). Fred Barton and the Warlords' Horses of China: How an American Cowboy Brought the Old West to the Far East. Jefferson, North Carolina: McFarland & Company. ISBN 978-0786499137.
- Portwood, Matthew R.; Dunn, John P. (2014). "A Tale of Two Warlords. Republican China During the 1920s" (PDF). Asian Studies. 19 (3).
- Malmassari, Paul (2016) [1st pub. 1989]. Armoured Trains. แปลโดย Roger Branfill-Cook. Barnsley: Seaforth Publishing (Pen and Sword Books). ISBN 9781848322622.