อ็อทโทที่ 1 มหาราช
จักรพรรดิอ็อทโทที่ 1 มหาราช | |
---|---|
รูปปั้นในมัคเดอบวร์ค | |
จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ | |
ครองราชย์ | 2 กุมภาพันธ์ 962 – 7 เมษายน 973 |
ราชาภิเษก | 2 กุมภาพันธ์ 962[1] ณ กรุงโรม |
ก่อนหน้า | พระเจ้าเบเรนการ์ที่ 2 |
ถัดไป | จักรพรรดิอ็อทโทที่ 2 |
กษัตริย์แห่งอิตาลี | |
ครองราชย์ | 25 ธันวาคม 961 – 7 พฤษภาคม 973 |
ราชาภิเษก | 10 ตุลาคม 951[a] ณ ปาวีอา |
ก่อนหน้า | พระเจ้าเบเรนการ์ที่ 2 |
ถัดไป | จักรพรรดิอ็อทโทที่ 2 |
กษัตริย์แห่งแฟรงก์ตะวันออก | |
ครองราชย์ | 2 กรกฎาคม 936 – 7 พฤษภาคม 973 |
ราชาภิเษก | 7 สิงหาคม 936 ณ อาเคิน |
ก่อนหน้า | พระเจ้าไฮน์ริชที่ 1 |
ถัดไป | จักรพรรดิอ็อทโทที่ 2 |
ดยุกแห่งซัคเซิน | |
ครองราชย์ | 2 กรกฎาคม 936 – 7 พฤษภาคม 973 |
ก่อนหน้า | พระเจ้าไฮน์ริชที่ 1 แห่งเยอรมนี |
ถัดไป | เบอร์นาร์ดที่ 1 |
ประสูติ | 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 912 อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก[2] |
สวรรคต | 7 พฤษภาคม ค.ศ. 973 เมมเลเบิน, จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ | (60 ปี)
ชายา | อีดจิธแห่งเวสเซ็กซ์ (930–946) อาเดลาอีดแห่งบูร์กอญ (951–973) |
ราชวงศ์ | อ็อทโท |
พระราชบิดา | พระเจ้าไฮน์ริชที่ 1 |
พระราชมารดา | มาทิลดา |
ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
จักรพรรดิอ็อทโทที่ 1 มหาราช (เยอรมัน: Otto I. der Große)[3] ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก (ชื่อเรียกบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในยุคนั้น) ในปี ค.ศ. 936 และทรงเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 962 จนเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 973 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในพระเจ้าไฮน์ริชที่ 1กับพระนางมาทิลเดอแห่งริงเงิลไฮม์
พระองค์ได้สเด็จขึ้นคอรงราชบัลลังก์แห่งดัชชีซัคเซินและบัลลังก์เยอรมนีภายหลังที่พระชนกสวรรคตในปี ค.ศ. 936 และทรงพระนามว่า พระเจ้าอ็อทโทที่ 1 แห่งเยอรมนี เมื่อขึ้นครองราชสมบัติแล้วพระองค์ก็เจริญรอยตามพระราชปณิธานของพระชนกที่จะรวบรวมแผ่นดินของชนเยอรมันให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง พระราชอำนาจของพระองค์แผ่ขยายไปอย่างกว้างไกลผ่านชั้นเชิงการเมืองที่เยี่ยมยอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีแต่งงานทางการเมืองหรือการแต่งตั้งสมาชิกพระราชวงศ์ของพระองค์ไปปกครองดัชชีและดินแดงต่างๆ นโยบายของพระองค์ได้ลดอำนาจและจำนวนดยุกลงไปมาก ซึ่งแต่ก่อนทำหน้าที่ปกครองดินแดนร่วมกับกษัตริย์ ดยุกจำนวนมากแปรสถานะจากผู้ปกครองอิสระมาเป็นผู้ปกครองใต้พระราชอำนาจของพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงนำศาสนจักรโรมันคาทอลิกเข้ามาสู่อาณาจักรเพื่อเสริมสร้างพระราชอำนาจของพระองค์
หลังทรงจัดการสงครามกลางเมืองระหว่างดัชชีต่างๆได้ พระองค์ก็สามารถมีชัยเหนือพวกมัจยาร์ (ฮังการี) ในยุทธการที่เลชเฟิลด์ ค.ศ. 955 ได้ ทำให้ยุโรปตะวันตกพ้นภัยจากการรุกรานของฮังการี[4] นอกจากนี้ การมีชัยเหนือพวกฮังการีนอกศาสนายังทำให้พระองค์มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างมากในฐานะ "ผู้กอบกู้แห่งคริสตจักร" ต่อมาในปี ค.ศ. 961 พระองค์สามารถพิชิตราชอาณาจักรอิตาลี และขยายดินแดนของพระองค์ไปทางเหนือ, ตะวันออก และใต้ ในปีค.ศ. 962 พระองค์ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยให้พระสันตะปาปาสวมมงกุฎให้ในกรุงโรม เหมือนอย่างที่ชาร์เลอมาญเคยทำ
ประวัติศาสตร์ก่อนหน้า
[แก้]หลังจักรพรรดิชาร์เลอมาญสวรรคตในปี ค.ศ. 814 จักรวรรดิของพระองค์ถูกแบ่งออก จักรพรรดิคนท้ายๆ ของราชวงศ์การอแล็งเฌียงมีอำนาจเพียงแค่ในอิตาลีเหนือและอิตาลีกลาง เบเรงการ์แห่งฟรีอูลี จักรพรรดิคนสุดท้ายของราชวงศ์การอแล็งเฌียงถูกฆาตกรรมในปี ค.ศ. 924 ตำแหน่งจึงตกเป็นของกษัตริย์ของชาวแฟรงก์ตะวันออกที่ต่อมากลายเป็นกษัตริย์แห่งเยอรมนี ในปี ค.ศ. 919 บรรดาดยุกในเยอรมันได้เลือกไฮน์ริชพรานล่านก ดยุกแห่งซัคเซินได้รับเลือกเป็นกษัตริย์และสกัดกั้นชาวมัจยาร์, ชาวสลาฟ และชาวเดนไว้ได้
ก่อนครองบัลลังก์
[แก้]อ็อทโทเป็นพระโอรสของพระเจ้าไฮน์ริชที่ 1 แห่งลิวดอลฟิงหรือราชวงศ์ซัคเซิน (ขณะนั้นยังไม่เป็นกษัตริย์) กับแมธิล์เดอ พระมเหสีคนที่สอง ข้อมูลชีวิตช่วงวัยเด็กของพระองค์มีไม่มาก แต่เชื่อกันว่าพระองค์น่าจะเคยร่วมทำศึกกับพระเจ้าไฮน์ริชอยู่หลายครั้งในช่วงปลายวัยรุ่น ในปี ค.ศ. 930 อ็อทโทสมรสกับอีดจิธ พระธิดาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้อาวุโสแห่งอังกฤษ อีดิธให้กำเนิดพระโอรสหนึ่งคนกับพระธิดาหนึ่งคน คือ
- ลิวดอล์ฟ (ประสูติ ค.ศ. 930) ดยุกแห่งชวาเบิน สิ้นพระชนม์ก่อนพระบิดา
- ลิวต์การ์ด (ประสูติ ค.ศ. 932[5]) สมรสกับค็อนราท เคานต์แห่งลอแรน
พระเจ้าไฮน์ริชโปรให้อ็อทโทเป็นรัชทายาทของพระองค์ หนึ่งเดือนต่อมาพระเจ้าไฮน์ริชสิ้นพระชนม์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 936 เหล่าดยุกของเยอรมนีได้เลือกอ็อทโทเป็นกษัตริย์ พระองค์ได้รับการสวมมงกุฎจากอัครมุขนายกแห่งไมนทซ์และอัครมุขนายกแห่งโคโลญที่อาเคิน นครซึ่งเคยเป็นที่พำนักโปรดของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ พระองค์มีพระชนมายุ 23 พรรษาขณะขึ้นเป็นกษัตริย์
กษัตริย์แห่งเยอรมนี
[แก้]กษัตริย์หนุ่มต้องการที่จะขึ้นมามีอำนาจเหนือเหล่าดยุกซึ่งพระบิดาของพระองค์ไม่เคยทำได้ นโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในทันที เอเบอร์ฮาร์ดแห่งฟรังเคิน, เอเบอร์ฮาร์ดแห่งบาวาเรีย และกลุ่มชาวซัคเซินผู้ไม่พอใจที่มีแธงค์มาร์ พระเชษฐาต่างมารดาของพระเจ้าอ็อทโทเป็นผู้นำเริ่มกระด้างกระเดื่องในปี ค.ศ. 937 แต่ถูกพระเจ้าอ็อทโทกำราบเรียบอย่างรวดเร็ว แธงค์มาร์ถูกสังหาร เอเบอร์ฮาร์ดแห่งบาวาเรียถูกปลดจากตำแหน่ง ส่วนเอเบอร์ฮาร์ดแห่งฟรังเคินยอมสวามิภักดิ์ต่อองค์กษัตริย์
แต่การสวามิภักดิ์ของเอเบอร์ฮาร์ดเป็นเพียงการแสดงตบตา ในปี ค.ศ. 939 เขาได้ร่วมกับกิเซลแบร์ตแห่งโลทริงเงินและไฮน์ริช พระอนุชาของพระเจ้าอ็อทโทก่อกบฎต่อพระเจ้าอ็อทโทโดยมีพระเจ้าหลุยส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศสให้การสนับสนุน ครั้งนี้เอเบอร์ฮาร์ดถูกสังหารในสมรภูมิ ส่วนกิเซลแบร์ตจมน้ำเสียชีวิตขณะกำลังหนี ไฮน์ริชยอมสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์และพระเจ้าอ็อทโทเองก็ให้อภัย ไฮน์ริชที่ยังคงคิดว่าตนเองคือคนที่พระบิดาอยากให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้สมคบคิดวางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าอ็อทโทในปี ค.ศ. 941 แผนการถูกเปิดโปงและทุกคนที่ร่วมกันสมคบคิดถูกลงโทษยกเว้นไฮน์ริชที่ได้รับการให้อภัยอีกครั้ง ความเมตตาของพระเจ้าอ็อทโททำให้ไฮน์ริชภักดีต่อพระเชษฐานับตั้งแต่นั้นมาและในปี ค.ศ. 947 พระองค์ได้รับพระราชทานตำแหน่งดยุกแห่งบาวาเรีย ส่วนดยุกเยอรมนีตำแหน่งอื่นๆ ตกเป็นของเหล่าพระญาติของพระเจ้าอ็อทโท
ในช่วงที่การแก่งแย่งชิงดีภายในดำเนินอยู่นั้น พระเจ้าอ็อทโทได้เสริมความแข็งแกร่งในการป้องกันและได้ขยายขอบเขตอาณาจักรของพระองค์ ทรงปราบชาวสลาฟทางฝั่งตะวันออกและได้พื้นที่ส่วนหนึ่งของเดนมาร์กมาอยู่ใต้การปกครอง ทรงตั้งตำแหน่งบิชอปในดินแดนดังกล่าวเพื่อผนึกความเป็นเจ้าประเทศราชของเยอรมนีในดินแดนนั้น โบฮีเมียสร้างปัญหาให้แก่พระเจ้าอ็อทโท แต่พระองค์ก็บีบเจ้าชายโบลสวัฟที่ 1 ให้ยอมจำนนได้ในปี ค.ศ. 950 และบังคับให้จ่ายบรรณาการให้แก่พระองค์ เมื่อฐานในบ้านเกิดแข็งแกร่ง พระเจ้าอ็อทโทไม่เพียงกำจัดการอ้างสิทธิ์ในโลทริงเงินของฝรั่งเศสได้ แต่พระองค์ยังเข้าไปเป็นตัวลางไกล่เกลี่ยปัญหาภายในของฝรั่งเศสด้วย
อีดิธสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 946 ปี ค.ศ. 951 พระเจ้าอ็อทโทบุกอิตาลีที่เบเรนการ์แห่งอิฟเรอา พวกขุนนางของอิตาลีได้ทำการยึดบัลลังก์และลักพาตัวอาเดลาอีด เจ้าหญิงอิตาลีจากบูร์กอญซึ่งเป็นพระราชินีม่ายของกษัตริย์คนก่อน เบเรนการ์พยายามบังคับให้พระนางสมรสกับบุตรชายของตนแต่พระนางหนีไปได้และได้ไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์เยอรมนี พระเจ้าอ็อทโทข้ามเทือกเขาแอลป์มายึดตำแหน่งกษัตริย์ของชาวลอมบาร์ดและอภิเษกสมรสกับอาเดลาอีด พระองค์อนุญาตให้เบเรนการ์ปกครองอิตาลีต่อไปในฐานะในฐานะข้าราชบริวารของพระองค์ พระเจ้าอ็อทโทกับอาเดลาอีดมีพระโอรสธิดาด้วยกัน คือ
- ไฮน์ริช (ประสูติ ค.ศ. 952[6]) สิ้นพระชนม์ในวัยเด็ก
- บรูโน (ประสูติ ค.ศ. 954[7]) สิ้นพระชนม์ในวัยเด็ก
- มาทิลดา (ประสูติ ค.ศ. 954) พระอธิการิณีแห่งเควดลินบวร์ค
- ออทโทที่ 2 (ประสูติ ค.ศ. 955) จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ในเวลาเดียวกันนั้นในเยอรมนี ลิวดอล์ฟ พระโอรสของพระเจ้าอ็อทโทกับอีดิธได้ร่วมกับบุคคลสำคัญหลายคนของเยอรมนก่อปฏิวัติต่อกษัตริย์ ความสำเร็จลอยมาอยู่ตรงหน้าหนุ่มน้อย และพระเจ้าอ็อทโทได้ต้องถอนทัพกลับซัคเซิน แต่ในปี ค.ศ. 954 การรุกรานของชาวมัจยาร์เริ่มสร้างปัญหาให้กลุ่มกบฏที่ถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับศัตรูของเยอรมนี การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งลิวดอล์ฟยอมจำนนต่อพระบิดาในปี ค.ศ. 955 พระเจ้าอ็อทโทสามารถบดขยี้ชาวมัจยาร์ได้ที่สมรภูมิเลชเฟล์ด จากนั้นชาวมัจยาร์ก็ไม่เคยบุกเยอรมนีอีกเลย พระเจ้าอ็อทโทยังคงประสบความสำเร็จทางทหารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับชาวสลาฟ
จักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
[แก้]ปี ค.ศ. 961 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 12 (ซึ่งรู้จักกันดีจากการพฤติกรรมตนผิดศีลธรรมทางโลกีย์) ต้องการคนมาช่วยต่อกรกับเบเรนการ์ที่เข้ายึดพื้นที่ส่วนหนึ่งของรัฐสันตะปาปา พระองค์หันมาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอ็อทโทที่รีบเดินทางไปช่วยเหลือทันทีเพื่อแลกกับการได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิจากสมเด็จพระสันตะปาปา พระองค์ปราบและจองจำเบเรนการ์ ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 962 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 12 สวมมงกุฎให้พระเจ้าอ็อทโทเป็นจักรพรรดิ แต่ต่อมาไม่นานสมเด็จพระสันตะปาปาก็ไม่พอใจต่อการตกอยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิอ็อทโทจึงลอบวางแผนต่อต้านพระองค์ จักรพรรดิอ็อทโทกลับมาที่โรมในปี ค.ศ. 963 สภาบิชอปที่ก้มหัวให้พระองค์และจัดการประชุมตามความประสงค์ของพระองค์ได้ปลดสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นออกจากตำแหน่ง ต่อมาพระองค์ได้เลือกชาวโรมันมาครองตำแหน่งแทนเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 8
จักรพรรดิอ็อทโทแทรกแซงกิจการภายในของโรมอีกครั้งในปีต่อมาเมื่อเกิดการก่อกบฏต่อสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอและมีการเลือกสมเด็จพระสันตะปาปาอีกคนมาแทนที่ การแทรกแซงยุติลงหลังสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 965 จักรพรรดิกลับไปโรมอีกครั้งเพื่อส่งผู้ท้าชิงอีกคนที่พระองค์เลือกไว้ขึ้นครองบัลลังก์พระสันตะปาปาเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 14 เมื่อเกิดการก่อปฏิวัติต่อสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น จักรพรรดิอ็อทโทสามารถกำราบได้ พระองค์ได้ยึดอำนาจควบคุมสมเด็จพระสันตะปาปาโดยไม่สนใจสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นอีกต่อไป
จักรพรรดิอ็อทโทเข้ายึดอาณาเขตของจักรวรรดิโรมันตะวันออกทางตอนใต้ของอิตาลีจนส่งผลให้ในปี ค.ศ. 972 ชาวไบเซนไทน์ได้ทำสนธิสัญญากับพระองค์ ยอมรับในตำแหน่งจักรพรรดิของพระองค์อย่างเป็นทางการ ทั้งยังยกเธโอฟาโน เจ้าหญิงบาเซนไทน์ให้เป็นเจ้าสาวของอ็อทโท พระโอรสและทายาทของพระองค์
หลังจักรพรรดิอ็อทโทกลับถึงเยอรมันได้ไม่นาน ทรงเรียกประชุมสภาครั้งใหญ่ที่ราชสำนักในเควดลินบวร์ค ทรงสิ้นพระชนม์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 973 ร่างของพระองค์ถูกฝังเคียงข้างอีดิธในมัคเดอบวร์ค
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Heather 2014, p. 281.
- ↑ Freund, Stephan (2013). Wallhausen – Geburtsort Ottos des Großen, Aufenthaltsort deutscher Könige und Kaiser (ภาษาเยอรมัน). Schnell und Steiner. ISBN 978-3-7954-2680-4.
- ↑ Otto I, Holy Roman Emperor[1]
- ↑ Reuter 1991, p. 254.
- ↑ Schutz, Herbert (2010). The Medieval Empire in Central Europe: Dynastic Continuity in the Post-Carolingian Frankish Realm, 900–1300. Cambridge Scholars Publishing. pp. 41–70, p. 41.
- ↑ Keller, Hagen; Althoff, Gerd (2008). Die Zeit der späten Karolinger und der Ottonen: 888–1024. Gebhardt Handbuch der deutschen Geschichte Band 3(in German). Klett-Cotta, p. 193.
- ↑ Baldwin, Stewart. "Otto the Great". Medieval Genealogy. Retrieved 26 September 2014.
- ↑ Berengar II ruled from 952 until 961 as "King of Italy", but as Otto's vassal.